จำได้ว่าตอนเรียนป.1-ป.2 เราเกลียดวิชาศิลปะมากเพราะอาจารย์บังคับให้วาดรูปแอปเปิ้ลสีแดงแต่เราวาดมาเหมือนชมพู่ท้องฟ้าต้องทาสีฟ้าเอาเปลือกไข่มาบดแล้วแปะบนกระดาษไม่ชอบอ่ะมันไม่สวย โดนอาจารย์ดุว่า วาดรูปไม่เป็น ไม่มีหัวศิลปะ
หุหุ ของฉันไฮโซกว่าเยอะ มีห้องรับแขก 3 ห้อง ห้องนอน 2 ห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ แล้วก็โต๊ะน้ำชาด้วย
เพื่อนคนอื่นๆ เห็นก็ให้วาดให้บ้าง จนครูเห็นเข้าเรียกมาขอดูด้วยจากนั้น ครูก็ดักรอพบแม่ตอนเช้า แล้วบอกว่า”ลูกคุณไม่ตั้งใจเรียนนะคะ เอาแต่วาดตุ๊กตากระดาษในเวลาเรียน ไม่สนใจเวลาครูสอน เอาแต่วาดรูปการ์ตูน รบกวนคุณแม่กวดขันด้วยนะคะ”
” พระเจ้าช่วยกล้วยทอด – -* พูดอย่างกับตรูก่ออาชญากรรม “
แล้วแม่ก็ดันบ้าจี้ด้วย งานเข้าดิฉันซิคะ โดนฟาดซะระบบไปหมด ก็เลยต้องเลิกเล่นตุ๊กตากระดาษไปอีกพักนึง เพราะถ้าครูเห็นฟ้องแม่อินี่จะโดนอีกแต่ก็ไม่เลิกวาดรูปนะ เพราะติดใจการวาดไปแล้วเราซื้อสมุดฉีกเล่มเล็ก ๆ ไว้แอบวาดรูป แล้วก็เอาไปซ่อนตามมุมต่างๆในโรงเรียนถ้าใครพอจะจำได้ว่าสมัยประถม จะมีการตรวจเก๊ะ
(ลิ้นชักโต๊ะสมัยก่อนจะเปิดฝาโต๊ะแล้วเอาหนังสือใส่ได้)
เพราะเค้าห้ามเอาหนังสือทิ้งไว้ที่โรงเรียน ต้องแบกตัวเอียงกลับบ้านทุกวันฉนั้นการแอบซ่อนไว้ในลิ้นชักจึงเสี่ยงมากที่ครูจะเจอแล้วเอาไปฟ้องแม่อีก
คิดไปคิดมา มันชักเหมือนกำลังก่ออาชญากรรมจริงๆวุ้ย
พอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้จักหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น(สมัยก่อนรู้จักแต่ ขายหัวเราะ กับ AKIRA)แล้วเรื่องที่เป็นครูในการวาดรูปของเราคือ Orange Roadเราหัดลอกลาย ตัวละครเอก อายูคาว่า มาโดกะ (สมัยเด็ก ๆเรียกมาโดก้า) นางในดวงใจของเราเริ่มจากลอกลาย กลายเป็นวาดมือ แล้วพัฒนาฝีมือมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขึ้นป.6
ตอนเรียนป.6 ถือว่าเป็นช่วงพีคของการวาดรูปของเราอีกช่วงนึงเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มทิ้งทวนความเป็นเด็กกันพวกเด็กผู้หญิงหันกลับมาเล่นตุ๊กตากระดาษเป็นครั้งสุดท้ายเราวาดตุ๊กตากระดาษขายเป็นล่ำเป็นสัน ออกแบบตัวละคร และชุดเอง
วาดชุดคิด แผ่น 1 บาท ตัวตุ๊กตาคิด 1 บาท แถมนางอิจฉา 1 เซท (1 ตัว +4 ชุด)
ทั้งวาดทั้งลงสีตามแต่เพื่อนจะสั่งมา เป็นช่วงที่โคตรมีความสุขที่สุดถึงขนาดเขียนลงไปในเรียงความว่า โตขึ้นจะเป็น “ดีไซเนอร์” หรือไม่ก็ “นักเขียนการ์ตูน”บรรยายลงไปเสร็จสรรพว่า ได้แรงบันดาลใจจากการวาดตุ๊กตากระดาษความฝันของเด็กคนนึงที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบเริ่มมองหาแนวทางว่าจะเดินไปทางไหนต้องไปเรียนสายอะไรต้องจบระดับไหนคิดไปไกลถึงขั้นจะจัดแฟชั่นโชว์ยังไง …
เราจำได้แม่นว่า วันนั้น ฟ้าครึ้มๆ เรากลับบ้านอย่างร่าเริงกับออเดอร์ใหม่ของเพื่อนแต่อยู่ดี ๆ แม่ก็เปิดกระเป๋าเราแล้วค้นๆๆๆ หยิบสมุดทุกเล่มมาเปิดดูแล้วก็เจอตุ๊กตากระดาษที่เราวาดและลงสียังไม่เสร็จดีคงไม่ต้องบอกว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
ร้องไห้น้ำตาท่วมใจมันเป็นยังไง
เพราะทุกวันนี้เราตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าเราชอบอะไร หรืออยากเป็นอะไร …. ชีวิตเรามันว่างเปล่าไร้จุดหมายเห็นคนอื่นเค้าวิ่งตามความฝันแบกเป้เดินทาง ทำงานเก็บเงินแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองสิ่งที่เมิงอยากจะทำ มันแค่กระแสพัดพาไป หรือเมิงอยากจะทำจริงๆวะ?คำตอบก็คือ “กรูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เพลง พื้นที่เล็กๆ ของ บอย ตรัย
http://youtu.be/auj2bI-TQQ8
ขอพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม ในวันนึงเท่าไร ก็ไม่เปลี่ยนไปได้หรือเปล่า ให้ความสดใส ยังอยู่กับเราอย่าให้ใครเขามาแย่งไป แค่เพียงอยาก ขอพื้นที่เล็กๆนี้ยังเป็นเด็กไปนานๆ ให้เรายังได้ฝัน ให้เรายังยิ้มได้ โลกแห่งความจริง มันจะดีหรือร้าย เก็บความเป็นเด็กในหัวใจ เอาไว้