ตุ๊กตากระดาษ

เขียนเมื่อ 2 มกราคม 2013 เวลา 21:58 น.
วันนี้คุยกับน้องที่ทำงาน เค้ากำลังตามฝันในการวาดรูปอยู่  ทำให้เรานึกขึ้นมาได้ว่า เลิกวาดรูปไป 10กว่าปีแล้วมั้ง
จำได้ว่าตอนเรียนป.1-ป.2 เราเกลียดวิชาศิลปะมากเพราะอาจารย์บังคับให้วาดรูปแอปเปิ้ลสีแดงแต่เราวาดมาเหมือนชมพู่ท้องฟ้าต้องทาสีฟ้าเอาเปลือกไข่มาบดแล้วแปะบนกระดาษไม่ชอบอ่ะมันไม่สวย โดนอาจารย์ดุว่า วาดรูปไม่เป็น ไม่มีหัวศิลปะ
แต่พอขึ้นป.3 เพื่อนชวนเล่นตุ๊กตากระดาษ เราไม่มีเพราะแม่ห้ามซื้อแต่ก็แอบซื้อแล้วเก็บไว้ที่โรงเรียนบ้างแอบในหนังสือโดนแม่จับได้แล้วถูกตี แถมโยนตุ๊กตากระดาษทิ้งด้วย  เซ็งสุดๆแต่ที่เซ็งมากกว่าคือ ซื้อตุ๊กตากระดาษมาแล้วซ้ำกับเพื่อนใครเกิดทันยุคนั้นคงนึกออกเล่นด้วยกัน ดันหยิบสลับมั่วบ้างหายบ้างแล้วชุดที่มีดันไม่ใช่แบบที่ชอบ ไม่เหมือนในสมุดระบายสี
มันเลยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตัดชุดจากสมุดระบายสี (ที่แอบซื้ออีกนั่นแหละ) มาเล่นแต่งบมันบานปลายไง หลังๆ เริ่มเอากระดาษสมุดวางแล้วลอกลาย(ดราฟท์)เลย ไม่เสียของเพื่อนเห็นก็ชอบ ทีนี้อยากได้สีไหน ยังไง ก็จัดไปฉันวาดให้เธอระบายกันเอาเอง
เล่นไปเล่นมากซักพัก ก็มีของเล่นใหม่ออกมาเป็นสมุดบ้าน เปิดออกมาเป็นห้องต่างๆ (แม่งเข้าใจทำหลอกเด็กมาก)ถือว่าไฮโซสุด ๆ สำหรับเด็กป. 3 ในตอนนั้น ราคาแพงไม่พอ หาซื้อยากอีกต่างหากทั้งห้องมีเพื่อนแค่สองคนที่มี เป็นที่อิจฉาริษยาของทุกคนแล้วด้วยความอิจฉาอินี่ก็ยืมเพื่อนมาดูแต่จะลอกลายก็ทำไม่ได้ เืพื่อนแม่งก็หวงสุด ๆ ให้ดูแปปเดียวเลยเอาสมุดปกอ่อน มาวาดแล้วเอามีดโกนอันละบาทแบบพับได้ กรีดกับโต๊ะเรียกว่า DIY มั่วสุดชีวิต ทั้งหมดนี่จำจากเล่มของเพื่อนที่ดูแว๊บเดียว แล้วจินตนาการเอาเอง ลองผิดลองถูกเอง แต่ก็ทำจนสำเร็จ

หุหุ ของฉันไฮโซกว่าเยอะ มีห้องรับแขก 3 ห้อง ห้องนอน 2 ห้องน้ำ อ่างอาบน้ำ แล้วก็โต๊ะน้ำชาด้วย

เพื่อนคนอื่นๆ เห็นก็ให้วาดให้บ้าง จนครูเห็นเข้าเรียกมาขอดูด้วยจากนั้น ครูก็ดักรอพบแม่ตอนเช้า แล้วบอกว่า”ลูกคุณไม่ตั้งใจเรียนนะคะ เอาแต่วาดตุ๊กตากระดาษในเวลาเรียน ไม่สนใจเวลาครูสอน เอาแต่วาดรูปการ์ตูน รบกวนคุณแม่กวดขันด้วยนะคะ”

” พระเจ้าช่วยกล้วยทอด – -* พูดอย่างกับตรูก่ออาชญากรรม “

แล้วแม่ก็ดันบ้าจี้ด้วย งานเข้าดิฉันซิคะ โดนฟาดซะระบบไปหมด ก็เลยต้องเลิกเล่นตุ๊กตากระดาษไปอีกพักนึง เพราะถ้าครูเห็นฟ้องแม่อินี่จะโดนอีกแต่ก็ไม่เลิกวาดรูปนะ เพราะติดใจการวาดไปแล้วเราซื้อสมุดฉีกเล่มเล็ก ๆ ไว้แอบวาดรูป แล้วก็เอาไปซ่อนตามมุมต่างๆในโรงเรียนถ้าใครพอจะจำได้ว่าสมัยประถม จะมีการตรวจเก๊ะ

(ลิ้นชักโต๊ะสมัยก่อนจะเปิดฝาโต๊ะแล้วเอาหนังสือใส่ได้)

เพราะเค้าห้ามเอาหนังสือทิ้งไว้ที่โรงเรียน ต้องแบกตัวเอียงกลับบ้านทุกวันฉนั้นการแอบซ่อนไว้ในลิ้นชักจึงเสี่ยงมากที่ครูจะเจอแล้วเอาไปฟ้องแม่อีก

คิดไปคิดมา มันชักเหมือนกำลังก่ออาชญากรรมจริงๆวุ้ย

พอเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มรู้จักหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น(สมัยก่อนรู้จักแต่ ขายหัวเราะ กับ AKIRA)แล้วเรื่องที่เป็นครูในการวาดรูปของเราคือ Orange Roadเราหัดลอกลาย ตัวละครเอก อายูคาว่า มาโดกะ (สมัยเด็ก ๆเรียกมาโดก้า) นางในดวงใจของเราเริ่มจากลอกลาย กลายเป็นวาดมือ แล้วพัฒนาฝีมือมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขึ้นป.6

ตอนเรียนป.6 ถือว่าเป็นช่วงพีคของการวาดรูปของเราอีกช่วงนึงเพราะตอนนั้นเป็นช่วงที่ทุกคนเริ่มทิ้งทวนความเป็นเด็กกันพวกเด็กผู้หญิงหันกลับมาเล่นตุ๊กตากระดาษเป็นครั้งสุดท้ายเราวาดตุ๊กตากระดาษขายเป็นล่ำเป็นสัน ออกแบบตัวละคร และชุดเอง

วาดชุดคิด  แผ่น 1 บาท ตัวตุ๊กตาคิด 1 บาท แถมนางอิจฉา 1 เซท (1 ตัว +4 ชุด)

ทั้งวาดทั้งลงสีตามแต่เพื่อนจะสั่งมา เป็นช่วงที่โคตรมีความสุขที่สุดถึงขนาดเขียนลงไปในเรียงความว่า โตขึ้นจะเป็น “ดีไซเนอร์” หรือไม่ก็ “นักเขียนการ์ตูน”บรรยายลงไปเสร็จสรรพว่า ได้แรงบันดาลใจจากการวาดตุ๊กตากระดาษความฝันของเด็กคนนึงที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบเริ่มมองหาแนวทางว่าจะเดินไปทางไหนต้องไปเรียนสายอะไรต้องจบระดับไหนคิดไปไกลถึงขั้นจะจัดแฟชั่นโชว์ยังไง …

หารู้ไม่ว่า ยิ่งฝันสูงเพ้อเจ้อเท่าไหร่ มันยิ่งทำร้ายตัวเราเท่านั้นการเขียนเรียงความในครั้งนั้น คือ จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม ในชีวิตเด็กประถมของเรา
แน่นอนว่า หลังจากที่คุณครูได้อ่านครูย่อมเป็นห่วงอนาคตเรา และต้องบอกผู้ปกครอง ซึ่งก็คือแม่
เราจำได้แม่นว่า วันนั้น ฟ้าครึ้มๆ เรากลับบ้านอย่างร่าเริงกับออเดอร์ใหม่ของเพื่อนแต่อยู่ดี ๆ แม่ก็เปิดกระเป๋าเราแล้วค้นๆๆๆ หยิบสมุดทุกเล่มมาเปิดดูแล้วก็เจอตุ๊กตากระดาษที่เราวาดและลงสียังไม่เสร็จดีคงไม่ต้องบอกว่าจะต้องเจออะไรบ้าง
เราก้มหน้ายอมรับชะตากรรมเงียบๆ ให้แม่ตี+ด่า จนเหนื่อยแม่ก็เอาสมุดตุ๊กตากระดาษมาฉีก แล้วโยนทิ้งไว้ที่ถังขยะหน้าบ้านก่อนหันมาบอกเราว่า
“ห้ามไปเก็บนะ ถ้ารู้ว่าเก็บจะตีให้ยิ่งกว่านี้”
เราได้แต่ยืนมองสมุดตุ๊กตากระดาษที่โดนฉีกกองอยู่บนถังขยะฝนตกลงมาปรอยๆ ทุกหยดของน้ำฝนที่สร้างรอยด่างดวงลงบนกระดาษมันเหมือนหยดน้ำตาที่อยู่ในใจเรา เป็นครั้งแรกที่เราได้เรียนรู้ว่า
ร้องไห้น้ำตาท่วมใจมันเป็นยังไง
กลายเป็นจุดหักเหใ้ห้ชีวิตเลิกฝันไปเลยเวลาเขียนเรียงความ “โตขึ้่นหนูอยากเป็นอะไร”เราก็ตอแหลเฟคแม่งสุด ๆ เอาใจพ่อแม่ เอาใจครูแม่อยากให้เป็นอะไรเราก็ทำเราเลิกฝันถึงสิ่งที่เราอยากเป็นเพราะมันไ่ม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต้านทานคนออกค่าเทอม
เรายังแอบวาดรูปต่อไปอีกหลายปี พัฒนาฝีมือไปเรื่อย พร้อมกับโดนด่าอยู่ตลอดจนจบปวส. เริ่มทำงาน ไม่มีเวลา ย้ายบ้านสมุดรวมเล่มวาดรูปหายเหลืองานเก่า ๆ ไม่กี่ชิ้นที่ยังพอเก็บไว้เมื่อไม่กี่วันนี้หยิงออกมานั่งดูให้คิดถึงวันเก่าๆความสนุกในการจับดินสอ กลิ่นยางลบขี้ยางลบปนเศษกระดาศ เวลานั่งลบจนกระดาษเปื่อยมันยังชวนให้คิดถึงเสมอ…
ผู้ใหญ่หลายคนมักพูดว่า คนรุ่นใหม่อย่างพวกเธอมันจับจด ไม่มีเป้าหมายในชีวิตไม่มีจรรยาบรรณ เอาแต่ก๊อปปี้คนอื่น ไม่เป็นตัวของตัวเองเราหันกลับมามองตัวเอง มันก็จริงของเค้านะ

เพราะทุกวันนี้เราตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่าเราชอบอะไร หรืออยากเป็นอะไร …. ชีวิตเรามันว่างเปล่าไร้จุดหมายเห็นคนอื่นเค้าวิ่งตามความฝันแบกเป้เดินทาง ทำงานเก็บเงินแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองสิ่งที่เมิงอยากจะทำ มันแค่กระแสพัดพาไป หรือเมิงอยากจะทำจริงๆวะ?คำตอบก็คือ “กรูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

เพลง พื้นที่เล็กๆ ของ บอย ตรัย
http://youtu.be/auj2bI-TQQ8

ขอพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม ในวันนึงเท่าไร ก็ไม่เปลี่ยนไปได้หรือเปล่า ให้ความสดใส ยังอยู่กับเราอย่าให้ใครเขามาแย่งไป แค่เพียงอยาก ขอพื้นที่เล็กๆนี้ยังเป็นเด็กไปนานๆ ให้เรายังได้ฝัน ให้เรายังยิ้มได้ โลกแห่งความจริง มันจะดีหรือร้าย เก็บความเป็นเด็กในหัวใจ เอาไว้

รูปของคุณ bad weather
จากกระทู้นี้ค่ะ 
http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/03/Q8989798/Q8989798.html

รูปของคุณ bad weather จากกระทู้นี้ค่ะ http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2010/03/Q8989798/Q8989798.html

ใส่ความเห็น